“Shrink film” หรือ ฟิล์มหด คือฟิล์มพลาสติกที่เมื่อถูกความร้อนจะหดตัวและกระชับตัวขึ้นโดยทั่วไปจะใช้ในการห่อบรรจุภัณฑ์ เช่น ห่อสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์อื่นๆ เพื่อป้องกันสินค้าและทำให้ดูเรียบร้อยมากขึ้น
การทำงานของ shrink film คือเมื่อได้รับความร้อนจากตู้อบหรือไดท์ให้ความร้อน ฟิล์มจะหดตัวลงและยึดติดกับสินค้าอย่างแน่นหนา ทำให้สินค้าปลอดภัยจากความชื้น ฝุ่นละออง หรือการเสียดสี อีกทั้งยังช่วยให้สินค้าเห็นได้ชัดเจนจากภายนอก
ฟิล์มหดมีหลายชนิด เช่น ฟิล์มพีวีซี (PVC) ฟิล์มพอลิเลฟิน (polyolefin) และฟิล์มพอลิเอธิลีน (PE) ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป
การเลือกชนิดของ ฟิล์มหด ให้เหมาะสมกับสินค้า
การเลือกใช้ฟิล์มหดอย่างเหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์นั้นต้องพิจารณาหลายปัจจัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการใช้งาน เพื่อปกป้องผลิตภัณฑ์และเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ตัวสินค้า โดยนี่คือ 6 ขั้นตอนหลักสำหรับแนวทางในการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
1.ความต้องการในการใช้งาน
2.ชนิดของบรรจุภัณฑ์สินค้า
3.รูปทรงบรรจุภัณฑ์สินค้า
4.คุณสมบัติของฟิล์มหดแต่ละประเภท
5.การหาไซส์/รูปแบบที่เหมาะสมกับบรรจุภัณฑ์สินค้า รวมถึงการทำงานของลูกค้า
6.การวางแบบ (กรณีเป็นงานพิมพ์)
ความต้องการในการใช้งานฟิล์มหด
ในการออกแบบเราต้องทราบเป้าหมายในการใช้งานก่อนเป็นอันดับแรก ต้องระบุหน้าที่ของฟิล์มหดที่ต้องการใช้อย่างชัดเจนว่าจะใช้ทำหน้าที่อะไร เช่น สำหรับทำฉลากสินค้า (Shrink label), ฟิล์มหุ้มฝาขวด (Cap seal), ฟิล์มสำหรับชริ๊งแพ็ค (Shrink pack) และ ฟิล์มสำหรับห่อหุ้มป้องกันสินค้า (Wrap around) เป็นต้น ซึ่งหน้าที่ในการใช้งานนั้นส่งผลต่อลักษณะคุณสมบัติของฟิล์มที่เราต้องการใช้งาน
ตัวอย่างเช่น : กรณีสำหรับทำฉลากสินค้า (Shrink label) ต้องเลือกอัตราหด MD ที่น้อยเพราะการหดตัวของฟิล์ม และต้องคำนึงถึงงานพิมพ์เมื่อหดตัวแล้วต้องสวยงาม
ชนิดบรรจุภัณฑ์
ชนิดบรรจุภัณฑ์สินค้าที่มีการพบในท้องตลาดตลาดได้แก่ แก้ว, พลาสติก, กล่องกระดาษ, อลูมิเนียม, เหล็ก และยางรถ เป็นต้น ซึ่งชนิดบรรจุภัณฑ์สินค้านั้นมีผลอย่างยิ่งต่อการเลือกชนิดที่จะนำมาใช้อย่างมาก เนื่องจากสินค้าบางชนิดอาจมีข้อจำกัดที่ไม่สอดรับกับคุณสมบัติของฟิล์ม
ตัวอย่างเช่น:บรรจุภัณฑ์สินค้าประเภทกล่องกระดาษนั้น เหมาะสมกับฟิล์มหดชนิด PVC มากกว่า PET-G เนื่องจากมีอัตราหดตัวค่อนข้างสูงกว่าชนิด PVC และเมื่อผ่านความร้อน จะหดตัวแล้วกอดรัดตัวบรรจุภัณฑ์ไว้แน่น ซึ่งจะทำให้กล่องกระดาษนั้นบุบได้
รูปทรงบรรจุภัณฑ์สินค้า
รูปทรงบรรจุภัณฑ์สินค้านั้นส่งผลในด้านการออกแบบฟิล์มหดโดยบรรจุภัณฑ์สินค้าบางประเภทอาจถูกออกแบบให้มีส่วนเว้าส่วนโค้งมากกว่าปกติ ทำให้จำเป็นต้องเลือกใช้ฟิล์มหดที่มีอัตราการหดตัวสูงเป็นพิเศษ หรือบรรจุภัณฑ์สินค้าบางประเภทอาจถูกออกแบบให้มีเหลี่ยมมุม หากใช้ฟิล์มหดที่บางเกินไปบริเวณมุมดังกล่าวอาจฉีกทะลุฟิล์มหดได้ขณะทำการหด จึงต้องออกแบบฟิล์มให้มีความหนาที่มากขึ้น
คุณสมบัติของฟิล์มหดแต่ละประเภท
คุณสมบัติของฟิล์มหดแต่ละประเภทนั้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการออกแบบ เพราะส่งผลถึงรูปลักษณ์ของสินค้าและต้นทุนในการผลิต โดยฟิล์มหดนั้นมีหลากหลายประเภท โดยประเภทที่ได้รับความนิยมในการใช้งานทั่วไปได้แก่ ฟิล์มหด PE, ฟิล์มหด POF, ฟิล์มหด OPP, ฟิล์มหด PVC และฟิล์มหด PETG
ตาราง การเปรียบเทียบ Shrink film ชนิดต่าง ๆ
คุณสมบัติ | PE | POF | OPP | PVC | PETG |
วัสดุ | Polyethylene (PE) | Polyolefin (POF) | Oriented Polypropylene (OPP) | Polyvinyl Chloride (PVC) | Polyethylene Terephthalate Glycol (PETG) |
ความใส | ต่ำ | สูง | สูง | ปานกลาง | สูง |
ความแข็งแรง | ปานกลาง | สูง | ปานกลาง | สูง | สูง |
ความยืดหยุ่น | ปานกลาง | สูง | ปานกลาง | ปานกลาง | สูง |
การหดตัว | ปานกลาง | ดี | ปานกลาง | ดี | ดีมาก |
การพิมพ์และการตกแต่ง | มีข้อจำกัดการพิมพ์ | สามารถพิมพ์ได้ดี | สามารถพิมพ์ได้ดี | สามารถพิมพ์ได้ดี | สามารถพิมพ์ได้ดี |
ต้นทุน | ต่ำ | ปานกลาง-สูง | ปานกลาง | ต่ำ | ปานกลาง-สูง |
การใช้งานทั่วไป | บรรจุภัณฑ์ทั่วไป | บรรจุภัณฑ์คุณภาพสูง | บรรจุภัณฑ์คุณภาพสูง | บรรจุภัณฑ์ทั่วไป | บรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความใสสูง |
การหาไซส์ / รูปแบบฟิล์มหดที่เหมาะสมกับบรรจุภัณฑ์สินค้า รวมถึงการทำงานของลูกค้า
การออกแบบฟิล์มหดให้เหมาะสมนั้นนอกจากจะต้องออกแบบให้สอดรับกับตัวสินค้าแล้วยังต้องคำนึงถึงกระบวนการการทำงานของลูกค้าเป็นสำคัญด้วย เนื่องจากกระบวนการของลูกค้านั้นมีความหลากหลายในการใช้งาน เช่น ลูกค้าบางแห่งนั้นใช้เครื่องอัตโนมัติ ก็จะเหมาะกับงานฟิล์มหดประเภทม้วน ทางผู้ออกแบบต้องทำให้ขนาดของฟิล์มหดนั้นหลวมกว่างานประเภทชิ้น เพราะต้องเผื่อให้เครื่องสวมทำงานได้ และต้องเข้ารูปสวยงาม ลูกค้าบางแห่งต้องการงานฟิล์มหดประเภทชิ้นก็ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม ต้องออกแบบให้ฟิล์มหดนั้นสวมง่ายทำงานได้เร็ว และเข้ารูปสวยงาม หรือลูกค้าบางแห่งใช้เครื่องอบฟิล์มหด แบบอุโมงค์ (SHRINK TUNNEL MACHINE) ทางผู้ออกแบบก็จำเป็นต้องทราบสภาวะในการผลิตด้วยเพื่อปรับให้มีความเหมาะสม
การวางแบบ (กรณีเป็นงานพิมพ์)
สำหรับงานพิมพ์นั้นนอกจากคำนึงรายละเอียดในการเลือกการออกแบบดังที่กล่าวมาแล้วยังต้องคำนึงถึง การใช้เฉดสี และการไล่สีในการพิมพ์ การออกแบบฟิล์มหดที่ต้องทำให้แผนกพิมพ์ทำงานได้ง่ายขึ้น ขนาด และ Dimension ในการวางแบบทั้งยังต้องคำนึงถึงรูปทรงของบรรจุภัณฑ์ และ การหดตัวของฟิล์มเมื่อเข้ารูปกับบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้หลังจากฟิล์มหดตัวแล้วรายละเอียดยังชัดเจนและสวยงาม ซึ่งในงานประเภทที่ต้องคำนึงถึงรายละเอียดส่วนนี้เป็นสำคัญคืองานกลุ่ม ฉลากหด (Shrink label)
การเลือกใช้ฟิล์มหดที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของผลิตภัณฑ์และองค์ประกอบที่หลากหลายดังที่กล่าวมา ควรตรวจสอบความต้องการทั้งหมดเหล่านี้เพื่อให้เลือกฟิล์มหดที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานได้ดีที่สุด
หากคุณมีคำถามเพิ่มเติมหรือต้องการคำแนะนำเฉพาะเกี่ยวกับการใช้ฟิล์มหดสำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณ อย่าลังเลที่จะติดต่อเรา อุตสาหกรรม วินิลเทค พร้อมเป็นผู้ช่วยสำหรับการออกแบบงานของคุณ
ผู้เขียนมีประสบการณ์ด้าน SEO และคอนเทนต์มาเก็ตติ้งมากกว่า 6 ปี พร้อมความเข้าใจธุรกิจอุตสาหกรรมพลาสติกจากประสบการณ์ทำงานจริงกว่า 2 ปี ถ่ายทอดเนื้อหาเชิงเทคนิคให้เข้าใจง่ายและตรงใจกลุ่มเป้าหมาย