Uncategorized

ในสายงานผลิตชิ้นงานพลาสติก เรามักต้องเจอกับสถานการณ์ที่ได้รับชิ้นงานต้นแบบมา แต่ไม่รู้ว่าวัสดุที่ใช้นั้นคืออะไร จะเริ่มต้นโปรเจกต์ใหม่ก็ไม่สามารถ วิเคราะห์ แยกแยะ หรือตรวจสอบชนิดของพลาสติกได้  หากเลือกผิด… อาจเจอกับปัญหา “ผลิตแล้วไม่ได้คุณภาพ เสียเงิน เสียเวลา และเสียโอกาส”  วิธีแยกประเภทพลาสติกแบบง่าย ๆ ที่หลายคนเคยใช้ แม้ว่าจะไม่มีเครื่องมือแพง ๆ ในห้องแล็บ แต่หลายคนก็พยายามใช้ “วิธีบ้าน ๆ” เพื่อเดาวัสดุพลาสติกเบื้องต้น ซึ่งบางครั้งก็ช่วยให้ตัดสินใจได้ไวขึ้นในหน้างาน เช่น  1. การเผาไฟ (Burn Test) หลักการ: พลาสติกแต่ละชนิดจะให้ลักษณะการเผาไหม้ กลิ่น และควันแตกต่างกัน  ชนิดพลาสติก  ติดไฟง่าย  สีของไฟ  กลิ่น  ควัน  PP (Polypropylene)  ง่าย  เหลืองอ่อน  กลิ่นน้ำมัน  น้อย  PE (Polyethylene)  ง่าย  เหลือง  กลิ่นขี้ผึ้งไหม้  น้อย  PVC (Polyvinyl Chloride)  ยาก  สีเขียว-เหลือง  กลิ่นฉุนคลอรีน  ควันดำเยอะ  PS (Polystyrene)  ง่าย  สีน้ำเงินอมเหลือง  กลิ่นหวานคล้ายสไตรีน  ควันดำมาก  ABS (Acrylonitrile Butadiene Styrene)  ง่าย  เหลืองส้ม  กลิ่นยางไหม้  ควันดำ  ข้อค

ในอุตสาหกรรมวัสดุโพลิเมอร์ มีการใช้วัสดุหลายประเภท เช่น TPE (Thermoplastic Elastomer), PVC (Polyvinyl Chloride) และ ยางธรรมชาติ (Natural Rubber) ซึ่งวัสดุเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกันในเรื่องของความยืดหยุ่นและการใช้งานที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า การแพทย์ และบรรจุภัณฑ์อาหาร  อย่างไรก็ตาม วัสดุแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน โดย PVC มีต้นทุนต่ำและสามารถใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไปได้ แต่มีปัญหาด้านความอันตรายจากสารเติมแต่ง ส่วนยางธรรมชาติมีคุณสมบัติเชิงกายภาพที่ดีแต่มีข้อจำกัดด้านอายุการใช้งานและสารก่อภูมิแพ้  ด้วยเหตุนี้่ TPE ได้กลายเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ปลอดภัยกว่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผ่านมาตรฐานที่เข้มงวดในอุตสาหกรรมต่างๆ  มาดูกันว่าเหตุใด TPE จึงเป็นทางเลือกที่เหนือกว่าสำหรับการใช้งานที่ต้องการความปลอดภัยและคุณภาพสูง  มาตรฐานด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ของ TPE TPE เป็นวัสดุที่มีองค์ประกอบสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมผ่านมาตรฐานสากลที่เข้มงวด  ในขณะที่ PVC และยางธรรมชาติมีข้อจำกัดบางประการที่อาจทำให้ไม่ผ่านมาต